Category: Blog
คัดมาให้แล้ว! 10 ท่านวดง่าย ๆ ช่วยผ่อนคลาย ทำได้เองที่บ้าน
การปวดเมื่อยตามตัว ไม่ว่าจะเพศใด อายุเท่าไร ก็สามารถพบเจอกับอาการเหล่านี้ได้ ซึ่งอาการเมื่อยล้าเหล่านี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายพฤติกรรม แต่ที่แน่ ๆ ส่วนหนึ่งมาจากการทำงานหนัก ใช้ร่างกายหนักหน่วงแน่นอน และการนวดเนี่ยแหละ กลายเป็นอีก 1 ความผ่อนคลายทั้งร่างกายและสมองง่าย ๆ ที่จะสามารถช่วยบรรเทาความเมื่อยล้านี้ออกไปได้
แต่การนวดไม่ได้จำเป็นต้องไปร้านนวด ร้านสปาเสมอไป คุณเองก็สามารถนวดผ่อนคลายได้ ทำง่าย ๆ ทำเองที่บ้านได้เหมือนกัน วันนี้สถิราคัดมาให้แล้ว ด้วยกัน 10 ท่านวดง่าย ๆ ลองเอาไปทำตามด่วน ๆ ค่ะ
ท่าที่ 1 : นวดกล้ามเนื้อไหล่
ท่านี้ถูกใจคนนั่งโต๊ะ นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ทำงานหนัก ออฟฟิศซินโดรมกำลังเริ่มถามหา หรือมีปัญหาจากการนั่งผิดท่าจนทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยอย่างแน่นอนค่ะ เพราะท่านี้จะเน้นการคลายความอ่อนล้าบริเวณช่วงไหล่ และต้นคอได้โดยเฉพาะเลย
โดยการนวด ให้ใช้มือซ้าย กดนวดช่วงไหล่ด้านขวาที่รู้สึกปวดตึง ค่อย ๆ กดน้ำหนักนิ้วมือและฝ่ามือลงไป ทำค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำแบบนี้ 3 - 5 ครั้ง แล้วจึงเปลี่ยนไปนวดอีกข้างหนึ่งในลักษณะเหมือนกัน
ท่าที่ 2 : นวดกล้ามเนื้อต้นคอ
สำหรับใครที่มีปัญหาปวดไหล่ ปวดช่วงบ่ามา แน่นอนว่ากล้ามเนื้อบริเวณคอจะต้องมีเจ็บ ๆ เมื่อย ๆ พ่วงมาด้วยบ้างแหละ ซึ่งการนวดกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอไม่ได้ช่วยแค่เรื่องความสบาย คลายความปวดเมื่อย ลดความตึงปวดบริเวณหลังคอเท่านั้นนะคะ เทคนิคนี้ยังช่วยเรื่องคลายความเครียดไปในตัว ยิ่งถ้าได้น้ำมันนวดกลิ่นหอม ๆ ผ่อนคลายยิ่งเพอร์เฟ็คเลยค่ะ!
การนวดกล้ามเนื้อคอ จะเริ่มจากการใช้มือข้างที่ถนันวางลงบริเวณหลังลำคอ จากนั้นบีบและคล้าบมือ ทำสลับกันประมาณ 5 - 10 ครั้ง โดยให้ลงน้ำหนักไปที่นิ้วมือ และฝามือไปพร้อม ๆ กัน
ท่าที่ 3 : นวดบริเวณขมับ
ไม่ได้ใช้แค่ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะเท่านั้นนะ แต่ท่านวดท่านี้ยังช่วยคลายความเครียดแบบตรง ๆ ในวันหรือช่วงเวลาที่เครียดจนปวดหัว ไอเดียหายแบบเฉียบพลัน นอกจากการเติมน้ำตาลให้สมองแล้ว ก็ลองหยุด หลับตาพักสายตาเสียหน่อย ระหว่างนี้ก็มาลองนวดกดจุดช่วยผ่อนคลายบริเวณขมับดู ท่านี้ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวเวลาเป็นไมเกรน และช่วยลดความเหนื่อยล้าของดวงตาได้อีกด้วยนะ
วิธีนวดจะเริ่มจากการแบมือ 1 ข้าง ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง กดคลึงบริเวณขมับทั้ง 2 ข้างเป็นวงกลม นวดวนซ้ำ 6 - 10 ครั้ง จากนั้นลงน้ำหนักนิ้วข้างไว้ 3 - 4 วินาที จากนั้นค่อย ๆ ผ่อนน้ำหนักลง ทำซ้ำ 3 - 5 ครั้ง
ท่าที่ 4 : นวดหัวคิ้ว
จุดนี้ถือเป็นการนวดกดจุดอีก 1 ท่า ที่เน้นช่วยเรื่องความเครียดสะสม ความกดดันจากการทำงานหนัก ช่วยแก้อาการปวดหัว เมื่อยเรื้อรัง หรือใครที่ชอบขมวดคิ้วบ่อย มีอีกชื่อหนึ่งเรียกกันว่าการนวดบริเวณตาที่สาม
ท่าที่ 5 : นวดดวงตา
ท่านี้จะเป็นการผ่อนคลายดวงตาแบบตรง ๆ ยิ่งใครที่ต้องทำงานกับจอคอมพิวเตอร์ นั่งหน้าโต๊ะ ต้องจ้องจอ ต้องใช้สายตาอย่างหนักหนวงในการทำงาน หรือใครที่อาจจะชิวจัดแต่มักจะใช้เวลาไปกับการดูทีวี จ้องจอโทรศัพท์นาน ๆ อันนี้ก็สามารถนำการนวดนี้ไปใช้ได้เหมือนกัน อาจจะต้องใช้ความทะนุถนอมซักหน่อยนะ แต่รับรองเลยว่าช่วยให้ผ่อนคลายได้แน่นอน
ใช้ปลายนิ้วโป้งกดบริเวณเปลือกหัวตา กดน้ำหนักลงเล็กน้อย กดค้างไว้นับ 6 - 7 วินาที แล้วจึงค่อย ๆ ผ่อนน้ำหนักมือออก
ท่าที่ 6 : นวดใบหู
นอกจากเอาไว้ฟังเสียงลูกค้าแล้ว อวัยวะส่วนนี้อาจจะไม่ได้มีความปวดเมื่อยอะไรชัดเจนเหมือนส่วนอื่น ๆ ค่ะ แต่ต้องเอามาลงมารวมใน 10 ท่านวดง่าย ๆ นี้เพราะว่าการนวดใบหู ช่วยเรื่องความผ่อนคลาย สบายใจ หลังจากที่ต้องอยู่กับงาน เพ่งกับจอคอมพิวเตอร์หรือเอกสารนาน ๆ นอกจากนี้จุดนี้ยังเป็นจุดสำคัญที่กระตุ้นระบบ ช่วยทำให้การทำงานของไตแข็งแรงขึ้นได้อีกด้วยค่ะ
การนวดใบหู ยังคงต้องใช้แรงน้อย เน้นเบามืออยู่เหมือนเดิมเพราะใบหูก็เป็นอีก 1 ส่วนที่บอบบางไม่แพ้ใคร ให้เริ่มจากการวงมือทั้ง 2 ข้าวไว้ที่หูทั้ง 2 ข้าง ใช้ปลายนิ้วโป้งไว้หลังใบหู ส่วนนิ้วที่เหลือให้วางประคองด้านหน้าไว้ นวดคลึงใบหูให้ทั่วจนหูเริ่มรู้สึกอุ่น จากนั้นดึงใบหูออกด้านข้างเบา ๆ 3 - 4 วินาที แล้วจึงปล่อยมือ ทำซ้ำ 3 ครั้ง
ท่าที่ 7 : นวดหนังศีรษะ
เวลาเราทำงานหนัก ๆ หรือให้ความสนใจ โฟกัสกับอะไรนาน ๆ สมองย่อมทำงานหนักจากเหนื่อยล้า อ่อนแรงเป็นธรรมดา ใครที่เคยมีอาการเหล่านี้ สมองตื้อ คิดอะไรไม่ค่อยออก มึน ๆ ปวดหัวบ่อย อาจจะเป็นสัญญาณของการใช้สมองมากเกินไป ให้มาลองนวดหนังศีรษะคลายความเครียดกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดดูกัน นอกจากแก้เครียดได้แล้ว ยังช่วยลดปัญหาเรื่องผมร่วงได้อีกด้วยนะคะ
ให้เริ่มจากการสอดมือเข้าไปในเส้นผมชิดติดหนังศีรษะ กำมือค้างจนรู้สึกตึง นับ 1 - 3 แล้วจึงเปลี่ยนตำแหน่ง ทำไปเรื่อย ๆ จนทั่วหนังศีรษะ
ท่าที่ 8 : นวดเส้นเอ็นข้อมือ
ถูกใจคนนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ต้องคลิกเม้าส์ พิมพ์ข้อมูล หรือใช้มือในการทำงานหนัก ๆ แน่ ๆ แต่การนวดเส้นเอ็นข้อมือไม่ได้ช่วยแค่เรื่องคล้ายอาการปวดเมื่อย เหนื่อยล้าหลังทำงานเท่านั้นนะ แต่การนวดกดจุดบริเวณนี้เป็นจุด The Pericardium Point ช่วยปลดปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลาย แก้อาหารวิงเวียนศีรษะ ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาการเมารถได้ด้วย
เริ่มจากการหาจุด The Pericardium Point อยู่บริเวณล่างข้อมือลงมา 3 นิ้ว ตรงกลางระหว่างเส้นเอ็นทั้ง 2 เส้น เมื่อหาเจอแล้วให้ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกด ทิ้งน้ำหนักไว้ 4 - 5 วินาที ทำซ้ำ 2 - 3 รอบ
ท่าที่ 9 : นวดหลังข้อเท้า
ร่างกายของเราถึงแม้ว่าจะอยู่ส่วนล่างสุดอย่างเท้า แต่ทุกอย่างมันเชื่อมกันหมดทุกส่วนค่า สำหรับใครที่เริ่มจะเข้าวงการปวดหลัง ปวดคอบ่าไหล่ การนวดหลังข้อเท้าช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้อีกแรงแน่นอน
โดยจุดที่ใช้นวดจะอยู่ระหว่างตาตุ่ม กับเอ็นรอยหวายด้านหลังข้อเท้า ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับบริเวณหลังเท้า กดน้ำหนักลงค้างไว้ 1 นาที
ท่าที่ 10 : นวดกดจุดเท้า
สำหรับจุดนี้สามารถแก้อาการปวดหัว และอาการเมื่อยล้า ปวดเท้าได้ ถือเป็นอีก 1 จุดลับ แต่สำคัญมาก ๆ สำหรับคนที่มีปัญหาออฟฟิศซินโดรม เพราะจุดนี้เป็นจุดที่ส่งตรงช่วยลดอาการเหนื่อยล้าของดวงตา และพัฒนาในเรื่องสมาธิได้อีกด้วยนะ
จุดที่ว่า จะอยู่ระหว่างกึ่งกลางนิ้วโป้งและนิ้วชี้เท้า ขยับลงมาจากโคนนิ้ว 3 - 3.8 เซนติเมตร ใช้นิ้วโป้งมือกดค้างหลังเท้า ระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้เท้า ลงน้ำหนักกดค้างไว้ 1 นาที แล้วทำอีกข้าง
แต่นอกจากเทคนิค ท่าทางการนวดต่าง ๆ แล้ว การใช้ตัวช่วยที่สามารถทำให้ร่างกายผ่อนคลายได้จากกลิ่น สัมผัส สารอาหารบำรุงผิวจากธรรมชาติ และช่วยลดความเมื่อยล้าต่าง ๆ ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การนวดเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดขึ้นได้ด้วย Satira Massage Oil หนึ่งในความภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ ปี พ.ศ 2561 โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
มีส่วนผสมของน้ำมันงา น้ำมันรำข้าว น้ำมันสวีทอัลมอนด์ และวิตามินอี เพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิวอย่างล้ำลึก เข้มข้น ผสมผสานเข้ากับน้ำมันหอมระเหยจากน้ำมันหอมระเหยบริสุทธ์ มีให้เลือกหลากหลายกลิ่น หลายอารมณ์ความรู้สึก
แนะนำ
Relax Lavender : ลาเวนเดอร์ ที ทรี และเปปเปอร์มินท์ ช่วยลดความเครียด เกิดสมดุลของร่างกาย และจิตใจ
Uplift Geranium : ผสมผสานเจอราเนียม โรสแมรี่ และน้ำมันหอมระเหยขมิ้น เหมาะกับการคลายเครียด และความเมื่อยล้าจากการทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มสมาธิ และดีท็อกซ์อีกด้วย
Rose : เพิ่มความโรแมนติก หอมหวาน มีเสน่ห์เหลือล้นด้วยกลิ่นหอมจากกถหลาบ เพิ่มความผ่อนคลาย ลดอาการนอนไม่หลับ
Thai Plai : ผสมผสานกลิ่นหวานและอบอุ่นแบบสมุนไพรไทย ทำให้รู้สึกสงบ และมีคุณสมบัติช่วยแก้ปวดเมื่อยล้า คลายกล้ามเนื้อ
HOW TO การใช้ และรักษาประสิทธิภาพของก้านหอม
ก้านหอม ไอเท็มสำคัญที่สามารถเป็นได้ทั้งอุปกรณ์แต่งบ้าน ไปพร้อม ๆ กับการปรับอากาศ เปลี่ยนบรรยากาศให้บ้าน หรือให้ห้องของคุณสดชื่น น่าอยู่ ช่วยให้ผ่อนคลายสบายใจผ่อนกลิ่นหอมที่คุณถูกใจได้มากขึ้น รวมไปถึงกลิ่นหอม ๆ ที่มาจากก้านหอมเหล่านี้ ยังเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นคุณ บ่งบอกถึงเทส และรสนิยมได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
มาทำความรู้จักกับก้านหอม หรือ reed diffuser กันก่อน
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดลองใช้ก้านหอม หรือเป็นสาวกก้านหอมที่เลือกซื้อ เลือกใช้กันอยู่บ่อยครั้งก็ตาม เราอยากให้ทุกคนมารู้จักกับก้านหอม หรือ reed diffuser แบบเจาะลึกกันก่อน เพื่อให้คุณได้รู้จัก เลือกซื้อ ใช้งานได้อย่างถูกต้อง ถูกวิธี และสามารถรักษาประสิทธิภาพได้อย่างดี ทำให้ก้านหอมสามารถใช้งานได้นาน มีคุณภาพ กลิ่นหอมอยู่ทนอยู่นาน กระจายกลิ่นหอมได้ดีมากที่สุด
ก้านหอม ก้านไม้หอม หรือ reed diffuser โดยทั่วไปจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกัน
ก้านหอมแบบใช้น้ำเป็นเบส กลุ่มนี้จะมีราคาค่อนข้างถูก แต่จะกลิ่นกระจายอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ เหมาะกับห้องขนาดเล็ก ตัวน้ำหอมระเหยเร็วมาก อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกลิ่นหอมชัด ต้องการให้กลิ่นกระจายตัวดี แนะนำผู้ที่ต้องการไอเท็มแต่งบ้าน วางตามโต๊ะต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความสวยงาม หรือต้องการปรับบรรยากาศ มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เพียงเท่านั้น
ก้านหอมแบบใช้น้ำมันเป็นเบส กลุ่มนี้จะมีราคาค่อนข้างสูงกว่าแบบน้ำพอสมควรเลย แต่เรื่องกลิ่นหอม คุณภาพ การกระจายตัวของกลิ่น ความหอมที่ชัดเจนของกลิ่นก็จะมีมากกว่า อายุการใช้งานอยู่ได้น犀利士
านกว่า อีกทั้งยังได้ประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มเติมจากตัวน้ำมันหอมระเหยดังกล่าวอีกด้วย แนะนำสำหรับผู้ที่อยากได้ก้านหอมกลิ่นละมุน เน้นความเป็นเอกลักษณ์ ชอบกลิ่นหอมชัด ๆ แต่ไม่ได้แรงจนฉุนหรือเวียนหัว สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มความสวยงามให้ภายในบ้าน หรือห้องได้เช่นกัน
สำหรับสถิรา Perfume Reed Diffuser จะเป็นก้านหอมแบบใช้น้ำมันเป็นเบส มีการผสมผสานระหว่างน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ เข้ากับน้ำหอม ทำให้ก้านหอมตัวนี้สามารถกระจายกลิ่นหอมได้ดี หอมทน หอมนานด้วยนะ
ใช้ก้านหอมยังไง? ให้คุ้มที่สุด
หลายคนคิดว่าแค่เปิดขวด - ปักก้านไม้หอมแล้วก็จบ ตัวน้ำหอมหมดขวดแล้วก็ค่อยเปลี่ยนใหม่ การใช้ก้านหอมวิธีนี้ไม่ผิดค่ะ แค่คุณอาจจะไม่ได้ใช้ก้านหอมได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุดก็เท่านั้น ทำให้การใช้ก้านหอมอาจจะต้องมีการคำนวนพื้นที่ของห้องซักหน่อย
พื้นที่ในการกระจายกลิ่นของก้านไม้หอมต่อหนึ่งจุด จะอยู่ที่ราว ๆ 9 - 12 ตารางเมตรโดยประมาณ หากพื้นที่ห้องใหญ่ ควรตั้งก้านหอมหลาย ๆ จุด เพื่อให้กลิ่นหอมกระจายได้ทั่วถึง
ช่วงแรกหลังเปิด และปักก้านหอม กลิ่นอาจจะยังกระจายตัวได้ไม่ดีหนัก เพราะก้านไม้ยังไม่ได้ดูน้ำหอมขึ้นมาจนเต็ม ให้รอ 30 นาที - 1 ชั่วโมง จะเริ่มได้กลิ่นหอมอบอวลรอบห้องมากขึ้น
หากกลิ่นหอมเข้มข้นมากเกินไป จนรู้สึกฉุน หรือเวียนหัวให้ลดปริมาณของก้านหอมที่ปักลง หรือในขณะเดียวกัน หากอยากได้กลิ่นหอมที่เข้มข้น ชัดเจนขึ้นให้ปักก้านไม้เพิ่ม
หลังจากที่ใช้งานก้านหอมไปซักพัก กลิ่นจากที่เคยเข้มข้น ชัดเจน กระจายตัวได้ดี อาจจะเริ่มได้กลิ่นน้อยลง ไม่กระจายตัวได้ดีเท่าเดิม เพราะก้านไม้ดูดน้ำจนตัน แนะนำให้สลับฝั่งก้านหอมจากหัวมาท้ายทุกวัน หรือทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกว่ากลิ่นหอมเริ่มลดลง
สามารถเปลี่ยนมาใช้ก้านหอมอันใหม่ได้ หรือหากก้านหอมสำรองหมดแล้วจะนำก้านหอมเก่ามาทำความสะอาด และนำมาปักใหม่อีกครั้งก็ได้เช่นกัน
ข้อควรระวังในการใช้ก้านหอม หรือ reed diffuser
ก้านหอมจะกระจายความหอมได้ดีในพื้นที่ปิด เช่น ห้องที่ติดแอร์ หากวางก้านหอมไว้ในจุดที่มีลมพัดถ่ายเท กลิ่นหอมจะกระจายหายไปตามลม
อายุการใช้งานของน้ำหอมของก้านหอมจะสามารถเก็บไว้ได้ถึง 3 ปี หากไม่ได้เปิดจุดขวดน้ำหอม แต่หากเปิดจุกน้ำหอมแล้ว เพื่อประสิทธิภาพของกลิ่นหอมที่ดีที่สุด ให้ใช้งานให้หมดภายใน 6 เดือน
ไม่เก็บไว้ในพื้นที่ที่มีแสงแดด หรือร้อน เพราะจะทำให้น้ำหอมเกิดความเปลี่ยนแปลงได้
กรณีที่ต้องการใช้ก้านหอมเป็นของตกแต่งบ้าน ต้องระมัดระวังไม่ให้น้ำหอมหก หรือเลอะเฟอร์นิเจอร์ น้ำหอมอาจจะทำให้เฟอร์นิเจอร์เสียหายได้
เลือกกลิ่นก้านหอมยังไงให้ถูกใจ
กลิ่นหอมมีหลากหลายแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณเองว่าต้องการกลิ่นหอมแบบใด หรือชื่นชอบกลิ่นหอมสไตล์ใดมากเป็นพิเศษ จากนั้นจึงค่อยเลือกก้านหอมที่มีส่วนผสมไปในทิศทางของกลิ่นที่คุณต้องการ ยกตัวอย่างเช่น
หากคุณเป็นคนชอบกลิ่นที่เย้ายวน มีเสน่ห์
กลิ่น Damask Rose ที่แฝงไปด้วยความโรแมนติก และความสง่างาม ก็เป็นกลิ่นที่ตอบโจทย์แน่นอน หรือ กลิ่น Orchid Sandalwood ที่ผสมผสานกลิ่นหอมของแบล็กออร์คิดและไม้จันทน์หอมเข้าด้วยกันได้เป็นกลิ่นที่หอมหรูหรา มีเสน่ห์
หากคุณเป็นคนที่ชอบกลิ่นหอมเย็น สดชื่น
ขอแนะนำ กลิ่น Jasmine Blossom ที่ผสมผสานกลิ่นหอมของดอกมะลิ ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เพิ่มความมั่นใจ และให้กลิ่นหอมสดชื่น นอกจากนี้ยังมี กลิ่น Ocean Breeze ให้ความรู้สึกสดชื่นเหมือนกำลังยืนอยู่ที่ริมทะเล ด้วยกลิ่นหอมของ เกรปฟรุต มินต์ ดอกบัว และ ดอกมะลิ หรือ กลิ่น Tropical Sunrise ก็ให้ความรู้สึกหอม สดชื่นสบาย จากกลิ่นของผลไม้เมืองร้อน เช่น เสาวรส มะม่วงและสับปะรด
หากคุณเป็นคนที่ชอบกลิ่นหอมผ่อนคลาย
กลิ่น Lavender ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า ลดความเครียด หลับสบายมากยิ่งขึ้น นับว่าเป็นกลิ่นที่ห้ามพลาด หรือ กลิ่น Thai Lemongrass ก็ให้ความรู้สึกหอมสดชื่น ช่วยให้จิตใจสงบ และคลายความเครียด
เมื่อเจอกลิ่นที่ชอบ สไสตล์ที่ใช่แล้ว และไม่รู้ว่าจะหาซื้อ ก้านหอม (reed diffuser) ที่ดีและมีประสิทธิภาพที่ไหนดี ให้ก้านหอมจากสถิราเป็นตัวช่วยในการผ่อนคลายให้กับคุณ สามารถดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ www.satirathai.com
เคยสงสัยกันมั้ย ต่อให้ใช้ "น้ำตบ" ดีแค่ไหน ทำไมไม่เวิร์คซักที?
ใช้ น้ำตบ ยังไงให้ผิวชุ่มชื้นและเห็นผลกว่าที่เคย เชื่อว่าหลายคนคงเคยสงสัยกันแน่ ๆ ว่าทำไมกับผิวบางคน ใช้น้ำตบยังไงก็ไม่เวิร์คซักที ผิวก็ยังคงแห้งกร้าน ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนคนอื่นเค้า วันนี้เรามีเคล็ดลับการใช้โลชั่น น้ำตบ หรือกลุ่มเอสเซ้นต์ที่จะดึงประสิทธิภาพสูงสุดมากฝากกันค่ะ
ปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวแตกเป็นขุย หรือแม้กระทั่งหน้ามันเกินไปแต่ผิวกลับไม่ชุ่มชื้น ทุกสิ่งที่กล่าวมาเกิดจากปัญหาผิวขาดน้ำ และความชุ่มชื้นทั้งนั้นค่ะ ซึ่งปัญหาเหล่านี้หากทิ้งไว้จะกลายเป็นสาเหตุของปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา ทั้งอาการผิวแพ้ง่ายทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มมีริ้วรอยก่อนวัย ความหย่อนคล้อยเริ่มถามหามากขึ้น เพราะผิวสูญเสียน้ำ ขาดความยืดหยุ่น จนพยุงผิวจากแรงโน้มถ่วงไม่ไหว กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ต้องไปพึ่งเข็ม พึ่งคลินิกแพง ๆ เพื่อฟื้นฟูใบหน้าให้กลับมาเด็กที่สุด อ่อนเยาว์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่สำหรับใครที่ยังไม่ถึงขั้นนั้น ยังรู้ตัวทันแก้ไขด้วยตัวเองก่อน ก็ต้องหันมาดูกันที่การดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันแล้ว ซึ่งหลัก ๆ จะเป็นในเรื่องอาหาร ดื่มน้ำเยอะ และเพียงพอต่อร่างกายหรือไม่ และการเติมความชุ่มชื้นผ่านสกินแคร์ หรือกลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์ต่าง ๆ
การบำรุงผิวด้วยครีม สกินแคร์ น้ำตบ การใช้ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับผิวหน้าอีก เพราะมอยเจอร์ไรเซอร์ และผลิตภัณฑ์แต่ละตัวมีก็หน้าที่ มีกลไกที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็สร้างมาเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น ฟื้นฟู เติมน้ำได้แบบลงลึกถึงโครงสร้างผิว บ้างก็สร้างมาเพื่อซีลความชุ่มชื้น ล็อกน้ำในผิวไม่ให้ระเหยออกมาจากผิวมากจนเกินไป ทำให้การประเมินผิวตัวเองก่อนเบื้องต้น เพื่อให้สามารถเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ได้เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด
แต่ก่อนที่จะกักเก็บ ล็อกความชุ่มชื้นไว้ในผิวด้วยขั้นตอนสุดท้ายอย่างครีม หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ ภายในผิวก็ต้องมีความชุ่มชื้นที่อิ่มน้ำมากพอเสียก่อน ทำให้การใช้น้ำตบเข้ามามีบทบาทในการช่วยให้ผิวดูใส อิ่มน้ำ คงความฉ่ำดิวอี้ ตั้งแต่เริ่มขั้นตอนแรก
จะใช้น้ำตบยังไง ให้ชุ่มชื้นตั้งแต่แรกเริ่ม
สกินแคร์กลุ่มน้ำตบ ถูกออกแบบมาให้มีโมเลกุลเล็ก เนื้อสัมผัสบางเบาเหมือนน้ำเปล่า การใช้งานจึงควรใช้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกหลังล้างหน้าสะอาด หรือเช็ดผิวหน้าด้วยโทนเนอร์เสร็จแล้ว
ทริคง่าย ๆ ในการใช้น้ำตบ
เคล็ดลับนี้มาจากสาวญี่ปุ่น ลองสังเกตุดูง่าย ๆ ถึงแม้ว่าบ้านของพวกเขาจะเป็นเมืองหนาว อากาศค่อนข้างไปทางแห้ง แต่ผิวของสาวญี่ปุ่นกลับดิวอี้ ผิวเด้งอิ่มน้ำอย่างเห็นได้ชัด
ล้างหน้าหรือเช็ดโทนเนอร์เสร็จ ใช้น้ำตบทันที
การใช้น้ำตบในแต่ละครั้ง ไม่จำเป็นต้องใช้ในปริมาณเยอะจนเกินไป แต่ให้แบ่งการตบน้ำตบเป็น 2 - 3 ครั้ง หรือมากกว่านั้นกว่าได้ ในกรณีที่ผิวหน้าของคุณส่งสัญญาณเตือนว่าผิวต้องการความชุ่มชื้นอย่างเร่งด่วน ใช้จนกว่าผิวจะเริ่มเด้ง ใช้นิ้วกดแล้วผิวเริ่มนุ่ม มีความยืดหยุ่นกลับมา ไม่ได้ซึมหายไปอย่างรวดเร็วเหมือน 1 - 2 ครั้งแรก
ทิ้งช่วงให้น้ำตบซึมเข้าสู่ผิวซักหน่อย จากนั้นจึงค่อยบำรุงขั้นตอนต่อไป
ข้อควรระวังของคนมีปัญหาผิ犀利士
ว บางทีการที่เราใช้ครีมมากเกิน หนาเกิน อาจทำให้ผิวหายใจไม่ออก มอยเจอร์ไรเซอร์ไม่สามารถทำงานได้อย่างเติมประสิทธิภาพ แนะนำให้ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีเนื้อบางเบา ปราศจากน้ำมัน หรือใช้กลุ่มน้ำตบเติมเต็มผิวให้นุ่ม ชุ่มชื้นตั้งแต่แรกเริ่มจะดีกว่าด้วย Satira Botanical Skin Nourishing Lotion สูตรปรับปรุงใหม่ล่าสุด
Botanical Skin Nourishing Lotion ตัวนี้จะเป็นโลชั่นเนื้อเจลเข้มข้น ผสมผสานไฮยาลูรอนิก ชุ่มชื้น แต่ซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ผิวชุ่มชื้นแต่ไม่เหนอะหนะ หรือหนักหน้าแต่อย่างใด
ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกมะลิฝรั่งเศส สร้างความผ่อนคลายให้กับช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นในยามเช้า และปลอบประโลมผิวที่อ่อนแอในเวลากลางคืน อุดมไปด้วย ว่านหางจระเข้ น้ำผึ้งบริสุทธิ์ สารสกัดจากใบบัวบก และวิตามิน A ช่วยลดอาการระคายเคืองจากแสงแดด ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
สามารถใช้เป็นน้ำตบ แบ่งตบ 2 - 3 ครั้ง เพื่อให้ผิวเด้ง แน่น ได้รับความชุ่มชื้นอย่างเพียงพอ หรือจะแช่โลชั่นในตู้เย็นเพื่อความเย็นสบาย หรือใช้สำลีชุบโลชั่น ประคบให้ทั่วใบหน้าเพื่อเติมความชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิวจากการโดนทำร้ายมา แทนการพอกหน้าได้ค่ะ
เราได้ทำการทดสอบความชุ่มชื่นของผิวด้วยเครื่องวิเคราะห์ผิว จากกลุ่มลูกค้าอาสาสมัคร หลังจากที่ใช้น้ำตบ Botanical Skin Nourishing Lotion ในเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา พบว่าหลังจากใช้ Botanical Skin Nourishing Lotion ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้นหลังใช้ทันที 75% และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังใช้นาน 14 วัน เป็น 81.25% และการสูญเสียน้ำของผิวลดลงทันทีหลังใช้ 87.50% ผิวกลับมาแข็งแรง อ่อนนุ่ม เด้ง ยืดหยุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
เซ็งมาก! อากาศเย็นทีไร จากผิวสวย กลายเป็น ผิว (แห้ง) เสียทุกที ทำไงดี
อากาศเปลี่ยนเข้าหน่อย อากาศเย็นขึ้นเพียงนิดเดียว กลายเป็นผิวต้องแห้งเสียมันทุกที ทำยังไงดี?
หลายคนคงเฟลกับอากาศหนาวเย็น เพราะจากผิวสวย ๆ กลายมาเป็นผิวแห้งเสียทุกครั้งที่อากาศเริ่มเย็นลง หรือเข้าสู่หน้าหนาว จนทำเอาหลายคนไม่ชอบหน้านี้ไปเลย ถึงแม้ว่ามันจะเย็นสบายก็เถอะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การทำความเข้าใจกลไกของผิวที่ส่งผลจากสภาพอากาศ และค่อย ๆ แก้ไขไปทีละปัญหา สามารถแก้ปัญหาผิวแห้งเสีย แห้งกร้านในช่วงที่อากาศเริ่มเย็นลง รวมไปถึงปัญหาผิวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้อย่างแน่นอน
ทำไม? พอหนาวทีไร ผิวถึงแห้งผิดปกติทุกที
สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก่อนเลยคือเรื่องของ “อากาศ” ค่ะ เมื่ออากาศเริ่มเย็นลง จะทำให้อากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ลดลง เมื่อความชื้นลดลงการสูญเสียน้ำออกจากผิวก็จะเพิ่มมากขึ้น โดยปกติคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความชุ่มชื้น การใช้ออยล์ หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ในการเติมเต็มความชุ่มชื้นมากเท่าที่ควรอยู่แล้ว ในช่วงอากาศปกติอาจจะไม่เห็นผลกระทบชัดเจนเท่าไร แต่เมื่อไรที่เริ่มเข้าสู่หน้าหนาว อากาศเริ่มเย็นลง ผิวจึงถูกดูดน้ำออกไปจากผิว ทำให้ผิวแห้ง หยาบ กร้าน เมื่อผิวอยู่ในสภาวะที่แห้งหนักมาก ๆ เข้าก็จะเกิดอาการคัน มีผื่น เป็นขุย ผิวเริ่มแสบ แดง และมีโอกาสแตกเป็นแผลและติดเชื้อแทรกซ้อนได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาผิวแห้งเสีย เกิดขึ้นได้จากหลาย ๆ อย่าง อาทิ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นความเป็นด่าง อาบน้ำอุ่นจัด ไม่มีการใช้โลชั่น หรือเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ดื่มน้ำน้อย หรืออาจจะเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมอย่าง อายุ มีโรคประจำตัว หรือมีปัญหาผิวหนังไม่ปกติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
นอกจากนี้ฝุ่นที่มาพร้อมกับอากาศหนาวเย็น ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผิวไม่สดชื่น และเกิดปัญหาการระคายเคือง แห้งเสียอีกด้วย
ไม่อยากผิวเสีย ต้องทำตามด่วน!
ถึงแม้ว่าสาเหตุของการเกิดปัญหาผิวแห้งเสียจากอากาศที่หนาวลง จะมีปัจจัยที่เกิดขึ้นจากตัวเอง หรือเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ก็ตาม คุณสามารถหยุดปัญหา คงความสวยของผิว หรือเติมความชุ่มชื้นให้ผิวฉ่ำ อ่อนนุ่ม ไม่แห้งกร้านได้ง่าย ๆ
ผ่านการดูแลผิว 3 Step ฟื้นฟู - บำรุง - กักเก็บความชุ่มชื้น
สามสเต็ปนี้ง่าย ๆ สามารถใช้ได้ทั้งผิวหน้า และผิวกายเลยค่ะ
ดูแลผิวหน้า บอกลาความแห้งกร้านช่วงหน้าหนาว
หลายคนที่มองข้ามกลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์ไป ก็จะมาเห็นความสำคัญเอาช่วงเวลานี้เนี่ยแหละ ทำให้ติดเป็นนิสัย หมั่นเติมความชุ่มชื้นให้ผิวตลอดเวลา ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร จะร้อนหรือหนาวก็ตาม
แนะนำ : เริ่มต้นการบำรุงผิวด้วยการเติมความชุ่มชื้นผ่านกลุ่มน้ำตบ หรือเอสเซ้นต์อย่าง
Botanical Skin Nourishing Lotion วิธีใช้แนะนำให้ตบผลิตภัณฑ์ลงผิวจนกว่าผิวจะรู้สึกถึงความนุ่มเด้ง ชุ่มชื้นแตกต่างจากผิวหน้าก่อนใช้ เพื่อให้การใช้เซรั่ม หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ในขั้นตอนถัดไปเป็นการบำรุง และกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวให้ได้มากที่สุดแทน
Botanical Skin Nourishing Lotion เป็นโลชั่นที่มีส่วนผสมของอโรเวล่า และ Hyaluronic Acid เน้นเรื่องช่วยปกป้อง และฟื้นบำรุงผิวแห้งเสียผิวที่ขาดความชุ่มชื้นโดยตรง ช่วยลดการระคายเคืองผิวแสบร้อนจากแดด ผิวแห้งแตกจากอากาศเย็น มีส่วนผสมของน้ำผึ้ง ตอบโจทย์ในเรื่องคืนความยืดหยุ่น ชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว และยกกระชับผิวให้สดชื่น อุดมไปด้วยวิตามิน A และ ใบบัวบก (Centella Asiatica) เน้นเรื่องทำงานเพื่อต่อต้านริ้วรอยแห่งวัย และฟื้นฟูผิว
และในเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา สถิราได้ทำการทดสอบผลิตภัณฑ์กับอาสาสมัคร พบว่าหลังจากใช้ Botanical Skin Nourishing Lotion ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้นหลังใช้ทันที 75% เพิ่มขึ้นหลังใช้นาน 14 วัน เป็น 81.25% และการสูญเสียน้ำของผิวลดลงทันทีหลังใช้ 87.50%
นอกจากนี้ Precious Face Essence ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ผสมผสานน้ำมันหอมระเหยกุหลาบ 100% และวิตามินซีบริสุทธิ์ ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและอ่อนเยาว์ พร้อมด้วยใบบัวบก และกาวเครือขาว เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
ผิวกายห้ามละเลย รู้ตัวอีกทีผิวแตก แสบได้เลยนะ
บางคนให้ความสำคัญกับผิวหน้ามากเกินไป จนรู้ตัวอีกที แขนขาแห้งแตก ผิวสากจนขึ้นขุยสีขาว ผิวแห้งระยะสุดท้ายไปแล้ว ซึ่งการมาถึงจุดนี้มีโอกาสที่ผิวจะอักเสบ แดง คัน ได้ทุกเมื่อ การเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ฟื้นฟู - บำรุง - และกักเก็บ จึงจะกลายเป็นการเซฟผิวกายให้ดูนุ่ม ชุ่มชื้น ผิวอิ่มน้ำได้แม้กระทั่งอากาศเปลี่ยน
เริ่มต้นจากการอาบน้ำ หากทำได้ แนะนำเลยว่าอย่าอาบน้ำที่อุ่นจนเกินไป ยิ่งน้ำอุ่นมากเท่าไร ยิ่งจะเป็นการพรากความชุ่มชื้นออกไปจากผิว
ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่เป็นด่าง ผิวไม่เอี๊ยด และโดดเด่นในเรื่องช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติอย่าง Glycerin Mangosteen soap ตัวนี้จะทำจากกลีเซอรินธรรมชาติ มีวิตามินอีจากน้ำมันมะกอก และเชียบัทเทอร์ อ่อนโยน เติมความชุ่มชื้นให้ได้กับทุกสภาพผิว หรือสำหรับคนที่อยากได้ความชุ่มชื้นตั้งแต่ขั้นตอนอาบน้ำ แนะนำใช้ออยล์อาบน้ำ Satira Milk Bath & Body Oil เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยทั้งความสะอาด และสามารถส่งตรงความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิวได้ทันทีที่อาบน้ำ
หากจะใช้ออยล์เป็นไอเท็มสำคัญในการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว แนะนำทาน้ำมันมะพร้าว Samui Coconut Organic Virgin Coconut Oil ก่อนเป็นอันดับแรก หลังอาบน้ำทันที เช็ดตัวให้แห้งเพียงหมาด ๆ จากนั้นนำออยล์ทาตัว มานวดทาให้ทั่วตัว ออยล์จะเป็นตัวช่วยกักเก็บน้ำที่เกาะอยู่ตามผิวให้อยู่กับผิวขึ้นไปได้อีกแรง
เพียงเท่านี้ คุณเองก็สามารถแก้ปัญหาผิวแห้งแตกได้แล้ว เคล็ดลับนี้สามารถใช้ได้ทั้งเวลาอากาศเปลี่ยน หรือแม้กระทั่งเดินทางไปเที่ยวเมืองหนาวก็ได้เช่นกันค่ะ
รู้หรือไม่? ริ้วรอยมีกี่ประเภท และแต่ละริ้วรอยมีชื่อเรียกว่าอะไรกันบ้าง
ว่าด้วยเรื่องของ “ริ้วรอย” สิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ทุกคนผ่านการเดินทางของเวลา ถึงจะเป็นตัวสัญลักษณ์ที่แสดงถึงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะก็ตาม แต่รอยยับ ความย่นบนหน้าเหล่านี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น จนต้องเฝ้าหาเทคนิค เคล็ดลับ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ใบหน้ายังคงความอ่อนเยาว์ ล็อกความหน้าเด็กเอาไว้อยู่เสมอ ๆ ไม่ว่าจะริ้วรอยเหล่านั้นอาจจะเกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังกังวลว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานก็ตาม
ริ้วรอยพัฒนามาจากเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่เรามักจะมีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อบนใบหน้าอยู่บ่อย ๆ เมื่อเคลื่อนไหวซ้ำไปซ้ำมาเป็นประจำ ผิวเจอกับมลภาวะไม่ได้รับการดูแลจนอ่อนแอ บวกกับความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นในผิวค่อย ๆ ลดหายเหลือน้อยลงไปตามกาลเวลา จึงทำให้เกิดรอยยับ และกลายเป็นริ้วรอยที่เห็นเด่นชัดในที่สุด โดยริ้วรอยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ตามต้นตอที่ก่อให้เกิดดังนี้
1.ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า (Expression Wrinkle)
ริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากการแสดงสีหน้า เป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นร่องรอยแห่งอารมณ์ ความรู้สึก จากแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ ขมวดคิ้ว และอื่น ๆ เมื่อกล้ามเนื้อมัดเล็กบนใบหน้าเกิดการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดอย่างสม่ำเสมอ จึงเกิดเป็นริ้วรอยขึ้น ที่พบได้ชัดเจนคือ รอยตีนกา รอยย่นที่เปลือกตา หน้าผาก ระหว่างคิ้ว ร่องแก้ม และริ้วรอยรอบริมฝีปากริ้วรอยจาก
2.ความเสื่อมสภาพ (Physical Wrinkle)
ริ้วรอยประเภทนี้ เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวที่ต้องเป็นไปตามกาลเวลา เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผิวก็ไม่เต่งตึง อิ่มฟูเหมือนตอนยังวัยรุ่น ปัญหาริ้วรอยจากความเสื่อมสภาพของผิวจะพบเจอกันมากที่สุด หลังจากอายุ 25 ปีขึ้นไป การทำงานและความยืดหยุ่นของผิวจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลงทุกปี และเมื่อถึงอายุ 30 ปี คอลลาเจนใต้ผิวหนังจะลดลงเพิ่มอีก 30% และจะลดน้อยลงอย่างต่อเนื่องทุกปี ปีละ 1 - 2% ทำให้ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไร สุขภาพผิวก็จะแย่ลงไปตามอายุ เกิดเป็นปัญหาไขมันใต้ชั้นผิวหนังฝ่อลง โครงสร้างกระดูกเริ่มทรุด จนเกิดเป็นริ้วรอยและความหย่อนคล้อยแห่งวัย
หากคุณเป็นคนที่ดูแลตัวเองมาตลอด หมั่นบำรุงผิวให้คงความชุ่มชื้น เต่งตึง ใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดูแลผิว ป้องกันริ้วรอยก็อาจจะดูหนังเด็ก ผิวยังไม่ล้ำหน้าหรือไปตามอายุ แต่ถ้าหากคุณไม่เคยดูแลตัวเอง หลังอายุ 30 ปี จะดูแก่เกินความเป็นจริงแน่นอน
3.ริ้วรอยจากมลภาวะ และอนุมูลอิสระ (Chemical Wrinkle)
ในปัจจุบัน ริ้วรอยไม่ได้เกิดขึ้นจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นแล้ว แต่ปัญหาสิ่งแวดล้อม มลภาวะที่คุณต้องพบเจอในระหว่างวันสามารถทำให้คุณแก่ก่อนวัย มีปัญหาเรื่องริ้วรอยได้เช่นกัน โดยอนุมูลอิสระลอยอยู่ในอากาศ แสงแดด ฝุ่น ควัน คือศัตรูหลักที่ทำให้ผิวเกิดปัญหาเลยก็ว่าได้ หรืออาจจะรวมไปถึงความเครียด ความกดดันที่ต้องพบเจอในการเรียน การทำงาน สภาพแวดล้อม สังคม เพื่อนร่วมงาน การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกกอฮอล์ ทุกอย่างล้วนส่งผลให้ผิวทั้งหมด เมื่อถูกทำร้ายบ่อย ๆ เข้าจึงทำให้เกิดริ้วรอยในที่สุด
ริ้วรอยบนใบหน้าแต่ละจุด มีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง?
เมื่อได้รู้จักประเภทของริ้วรอยกันไปแล้ว อย่าลืมที่จะมารู้จักส่วนที่มีโอกาสเกิดริ้วรอยมาที่สุดด้วย เพื่อให้คุณสามารถดูแล ลด เลี่ยง ป้องกันโอกาสที่จะเกิดริ้วรอยฝั่งลึกจนเป็นปัญหาหน้าแก่ ไม่มั่นใจไปได้ในอนาคตค่ะ
・Crow’s Feet หรือ ตีนกา ปัญหาริ้วรอยอันดับแรก ๆ ที่มักจะเกิดขึ้น ตีนกาจะอยู่บริเวณหางตาทั้ง 2 ข้าง เกิดขึ้นจากการที่เรายิ้มกว้าง หัวเราะอย่างเต็มที่จนตาหยี กลายเป็นรอยยับ และริ้วรอยแห่งความสุขในที่สุด Laugh Lines เส้นหัวเราะ ร่องแก้ม ริ้วรอยในส่วนนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ทั้งการแสดงออกทางสีหน้า ความเสื่อมสภาพของผิว มลภาวะ และพื้นฐานของโครงสร้างใบหน้าที่ทำให้เกิด Laugh Lines ได้ง่ายกว่าคนอื่น ถือเป็นจุดที่ทำให้ดูหน้าแก่กว่าวัยจุดสำคัญทีเดียว
・Elevens หรือริ้วรอยบริเวณหว่างคิ้ว จุดนี้มักเป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากการแสดงความรู้สึกมาจนเกินไป คุณอาจจะเครียด หรือขี้สงสัยจนขมวดคิ้วอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเมื่อกล้ามเนื้อมัดเล็กบริเวณนั้นถูกขยับ ก็เหมือนถูกออกกำลัง ทำให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ขึ้น จนอาจอยู่เป็นเส้นแบบถาวรโดยไม่ต้องขยับหน้าเลยด้วยซ้ำ
・Bunny Lines หรือ รอยย่นข้างจมูก มีรอยเล็ก ๆ พอให้เห็นตอนยิ้ม ทำปากจู๋ ก็ดูแล้วน่ารักดีอยู่หรอกค่ะ แต่พอยิ่งปล่อยไว้ ยิ่งยิ้ม รอยยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เนี่ยสิปัญหา รอยย่นข้างจมูกมีได้ตั้งแต่รอยขีดเล็ก ๆ ไปจนถึงเป็นเส้นพาดตามแนวนอนเชื่อมกับบริเวณหัวตา
・Marionette Lines หรือร่องน้ำหมาก เป็นริ้วรอยจุดสำคัญที่ทำให้ดูแก่เกินอายุไปได้เป็นหลักสิบ ๆ ปี มักจะเกิดขึ้นจากปัญหาชั้นไขมันใต้ผิวหนังฝ่อตัวลงตามอายุ ชั้นผิวเริ่มบางลง กล้ามเนื้อ และผิวเริ่มหย่อนคล้อยไม่เต่งตึงจนห้อยย้อยเกิดเป็นร่องน้ำหมากใต้มุมปาก หรือในบางครั้งอาจเกิดจากการสูญเสียฟัน กระดูกขากรรไกรยุบตัวก็เกี่ยวข้องได้
・Accordion Lines หรือริ้วรอยบริเวณมุมปาก เป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากการแสดงอารมณ์อีกหนึ่งชนิด โดยลักษณะของริ้วรอยจะย่นพับไปในทิศทางเดียวกับจนเหมือน Accordion (หีบเพลง)
・Smoker’s Lines หรือริ้วรอยรอบปาก ถือเป็นจุดที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จากทุกสาเหตุ โดยเฉพาะมลภาวะ การสูบบุหรี่บ่อย อายุที่เพิ่มมากขึ้น และผิวเสื่อมสภาพอย่างชัดเจน โดยไม่ได้ดูแลบำรุงเพิ่มเติม ลักษณะจะเป็นรอยย่นเป็นเส้นรอบ ๆ ปาก
ริ้วรอยไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยค่ะ เพราะทุกเส้น ทุกรอยยับ สามารถเกิดขึ้นได้บนใบหน้าคุณทั้งหมด และมันจะเกิดขึ้นแน่หากไม่มีการดูแลผิวหน้า หรือเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวมากพอเหมาะสมกับช่วงอายุ และต้นตอของปัญหาที่คุณต้องเผชิญอยู่บ่อยครั้ง ใครไม่อยากเจอกับริ้วรอยเร็วเกินไป ต้องเริ่มใส่ใจที่จะดูแลผิว เริ่มใส่ใจที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทลดเลือนริ้วรอยอย่าง Precious Botanical Face & Neck Cream ที่อุดมด้วยวิตามินโปรตีน, สารสกัดจากพืช Satira, วิตามินเอ และสารสกัดจากใบบัวบก ตัวช่วยสำคัญในการฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอย สร้างเซลล์คอลลาเจนใหม่ มาพร้อมกับ “โปรตีนไหมไทย” เน้นการเสริมสร้างเซลล์ผิวลดการเกิดปัญหาแห่งวัย และ “สารสกัดจากกวาวเครือขาว” หนึ่งในสารสกัดสำคัญที่ให้สารไฟโตเอสโตรเจน ตัวช่วยคืนผิวที่ดูอ่อนเยาว์ กระจ่างใส เต่งตึงอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ว่าตอนนี้จะมีหรือยังไม่มีริ้วรอยก็ตาม การรู้ตัวก่อน และเริ่มตั้งใจดูแลผิวอย่างจริงจัง เน้นคืนความชุ่มชื้น ทำผิวให้แลดูเต่งตึง และอิ่มน้ำอยู่ตลอดเวลา จะช่วยให้ชะลอความหน้าแก่ อีกทั้งยังช่วยให้คุณสามารถแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ ที่ตามมาจากอายุได้อย่างจริงจังจากการคงสภาพโครงสร้างผิวที่แข็งแรงอยู่สม่ำเสมอค่ะ
สาว ๆ ต้องรู้ เปิดทริควิธีนวดทรวงอก ให้ได้ทั้งความสวย และสุขภาพ
เพราะเรื่องหน้าอกหน้าใจ เป็นเรื่องใหญ่ของสาว ๆ ทั้งในแง่ของสุขภาพ ความงาม ทำให้การดูแลหน้าอกให้เต่งตึง กระชับสวยจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อไม่ให้หน้าอกหย่อนคล้อยไปตามธรรมชาติก่อนเวลาอันควร อีกทั้งการดูแลหน้าอกอย่างสม่ำเสมอ ยังเป็นเหมือนการตรวจเช็กร่างกายตัวเองว่ามีความผิดปกติ หรือมีสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ หรือไม่
ไม่ว่าจะไซซ์ไหน ก็ต้องใส่ใจหน้าอก
การดูแลสุขภาพของหน้าอก มีหลากหลายวิธีมากตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ ที่เราอาจจะมองข้ามไปจนถึงเรื่องใหญ่ที่คุณเอง จำเป็นต้องเริ่มใส่ใจได้แล้วตั้งแต่วันนี้ค่ะ
- บรา หรือเสื้อชั้นในสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่เกาะติดอยู่กับหน้าอกของเราตลอดทั้งวันแทบจะ 24 ชั่วโมง การเลือกเสื้อชั้นในจึงต้องเลือกให้พอดีทั้งรอบตัวและขนาดหน้าอกค่ะ ต้องสบายแต่กระชับ เนื้อผ้าต้องนิ่ม ระบายอากาศได้ดี ต้องไม่รัดแน่นจนเนื้อปลิ้นเป็นรอยแดงตามขอบเสื้อชั้นใน และไม่หลวมจนเกินไป
- ออกกำลังกาย และทานอาหารดี ๆ อยู่เสมอ พอร่างกายได้รับประทานอาหารดี ๆ ผลก็จะส่งออกมาให้เห็นทางสุขภาพร่างกายค่ะ เน้นทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านม ให้เน้นสารอาหารที่สามารถสร้างกล้ามเนื้อและบำรุงส่วนต่าง ๆ รวมทั้งหน้าอกได้ อาทิ อกไก่ กล้วย น้ำเต้าหู้ ไข่ มะละกอ เป็นต้น
ที่สำคัญ อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อการทำงานของร่างกายในแต่ละวัน เพื่อให้ระบบเลือด และต่อมน้ำเหลืองสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- บำรุงผิวบริเวณหน้าอก และหมั่นสำรวจตัวเอง ความชุ่มชื้นเป็นเรื่องสำคัญกับผิวทุกส่วนไม่เว้นแม้กระทั่งหน้าอกค่ะ แนะนำให้ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ โลชั่นบำรุงที่มีความอ่อนโยนดูแลอยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้หน้าอกแห้งแตก ขาดความชุ่มชื้น นอกจากนี้ อย่าลืมคอยสำรวจตัวเองอยู่บ่อย ๆ ว่าหน้าอกของเรามีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือเปล่า ซึ่งมีความผิดปกติให้รีบพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างทันที
นวดทรวงอก ทริคดี ๆ ที่ได้ทั้งสุขภาพและความงาม
นอกจากการดูแลในเรื่องเสื้อชั้นใน อาหารการกิน การควบคุมน้ำหนัก หรือการดูแลตัวเองอื่น ๆ แล้ว การนวดทรวงอกยังเป็นอีก 1 เทคนิคลับที่ส่งผลต่อความงามโดยเฉพาะเรื่องความเต่งตึง ยกกระชับหน้าอกให้ไม่หย่อนคลอยไปตามอายุหรือกาลเวลา ช่วยเรื่องสุขภาพ กระตุ้นการทำงานของระบบภายในร่างกาย ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม และโรคอื่น ๆ เกี่ยวกับหน้าอก แถมยังเป็นการตรวจเช็กความผิดปกติภายในทรวงอกไปได้อีกทางค่ะ
การนวดทรวงอก ควรนวดควบคู่กับน้ำมันนวดผิวกาย Satira Massage Oil เพื่อเพิ่มความผ่อนคลายจากกลิ่นหอมที่คุณชื่นชอบ ตัวน้ำมันนวดมีส่วนผสมของน้ำมันงา น้ำมันรำข้าว สวีทอัลมอนด์ และวิตามินอี ผสมกับน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ ช่วยเข้าเติมเต็มความชุ่มชื้น บำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง ผิวกระชับขึ้น และแลดูอ่อนกว่าวัย โดยไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ โดยวิธีการนวดทรวงอกจะมีขั้นตอนง่าย ๆ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง 4 วิธี
ขั้นตอนที่ 1 นวดบริเวณเต้านม ใช้มือซ้ายนวดบริเวณหน้าอกด้านขวา นวดวนเป็นวงกลมบริเวณกลางเต้านม วนจากด้านข้างเข้ามากลางหน้าอก จากนั้นนวดขึ้นจากบริเวณใต้ราวนมโดยดันขึ้นจากด้านล่างทุกครั้ง ทำข้างละ 20 ครั้ง
ขั้นตอนที่ 2 นวดหน้าอกจากด้านล่างเข้าหาตัว ใช้มือซ้ายดันบริเวณใต้หน้าอกข้างขวา จากนั้นใช้มือขวาดันหน้าอกข้างขวาขึ้นเป็นมุมเฉียง ทำซ้ำอีกข้างโดยใช้มือขวาดันด้านล่างหน้าอกข้างซ้าย และใช้มือซ้ายดันหน้าอกข้างขวาขึ้นมุมเฉียง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง
ขั้นตอนที่ 3 นวดหน้าอกสองข้างให้ชิดกัน ใช้มือสองข้างไขว้กันไว้ ประคองบริเวณข้างเต้านมด้านล่าง จากนั้นใช้มือนวดเป็นวงกลม และดันให้หน้าอกสองข้างชิดกันมากที่สุด นวดวนข้างละ 15 ครั้ง
ขั้นตอนที่ 4 นวดกดบริเวณหน้าอกให้แน่น ใช้มือทั้งสองข้างประสานกันไว้แล้วกดนวดคลั่งบริเวณข้างเต้านมเป็นวงกลม วนจากซ้ายไปขวา นวดวนข้างละ 15 ครั้ง
เพียง 4 เทคนิคง่าย ๆ นวดต่อเนื่อง 2 - 3 สัปดาห์ ควบคู่กับการใช้น้ำมันนวด Satira Massage Oil จะทำให้หน้าอกเต่งตึง กระชับสวย ทรวดทรงได้รูป และทำให้หน้าอกชิดกันมากขึ้น ผิวบริเวณหน้าอกจะค่อย ๆ กระจ่างใส ชุ่มชื้น อ่อนเยาว์ไม่เหี่ยวย่น
นอกจากนี้ในระหว่างที่นวดอยู่ สาว ๆ อย่าลืมสังเกตตัวเองเพิ่มเติม ว่าภายในหน้าอกของเราระหว่างนวดมีสิ่งแปลกปลอม ก้อนเนื้อ ไต หรือความผิดแปลกไปจากเดิม หรือมีอาการเจ็บปวดบริเวณใดเป็นพิเศษหรือไม่ด้วยนะคะ
อยาก ลดเซลลูไลท์ (Cellutite) หนึ่งในปัญหากวนใจของสาว ๆ หลายคน ที่บางทีอาจจะไม่มีเวลาในการออกกำลังกาย ดูแลตัวเองเท่าที่ควร หรือบางคนอาจจะลองทำทุกทางแล้ว เซลลูไลท์ก็ยังไม่หายขาด มีริ้วเปลือกส้มตามแขน ตามขา มาให้เห็นอยู่ตลอด วันนี้สถิรา มีทริคลับมาฝาก เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ใช้ลดเซลลูไลท์โดยที่เราไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องเสียทรัพย์แพง ๆ เพียงแค่มีน้ำมันนวดลดเซลลูไลท์ และรวมไปถึงวิธีนี้ไม่ต้องออกกำลังกาย แถมยังได้ความผ่อนคลายแบบเต็มรูปแบบเพิ่มมาด้วยค่ะ
เซลลูไลท์ คืออะไร? ทำความเข้าใจก่อนกำจัดมัน
เซลลูไลท์ เกิดขึ้นจากการสะสมของไขมัน ที่เป็นมีลักษณะเป็นของเหลวและสารพิษ ติดค้างอยู่ภายในร่างกายสะสมกันไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นชั้นคลื่นอยู่ในส่วนเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่บริเวณใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์มักจะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่น้ำเหลืองไม่ดี หรือระบบการระบายน้ำเหลืองไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเหตุนี้ ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้ จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นทั้งของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์กวนใจ เกิดผิวเป็นลักษณะไม่เรียบเนียน เป็นคลื่น ๆ คล้ายผิวส้ม พบเจอบ่อยช่วงบริเวณต้นขา สะโพก ก้น และท้อง ส่วนบริเวณหน้าอก ท้องน้อย และต้นแขน ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกันแต่พบน้อย
นวดลดเซลลูไลท์ ทำเองหายเอง ไม่เจ็บตัว
การนวดลดเซลลูไลท์ ที่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่หลายคนนึกถึง เพราะสามารถทำได้เองที่บ้าน ไม่ต้องออกกำลังกายหนัก ไม่ต้องเจ็บตัว หรือเสียเงินหลักหมื่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถหายขาดจากปัญหาเซลลูไลท์จากการนวดได้ เพราะความไม่รู้ ใช้เทคนิคผิด ๆ จึงทำให้หลายคนที่ตั้งใจนวดต้องผิดหวัง เซลลูไลท์หายช้า ไม่หายขาดไปตาม ๆ กัน
การนวดลดเซลลูไลท์ที่ถูกวิธี นอกจากจะสามารถตรงเข้าสลายเซลลูไลท์ได้อย่างถูกจุดแล้ว ตัวกลางสำคัญอย่าง “น้ำมันนวด” ก็ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก น้ำมันนวดตัวที่ดี มีสรรพคุณในด้านการช่วยลดปัญหาผิวส้ม หรือเซลลูไลท์โดยตรง จะทำให้การนวดลดในแต่ละครั้งเห็นผลลัพธ์ชัดเจนและรวดเร็วมาก หากเทียบกับการไม่ใช้ หรือใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Anti Cellulite แทน
Satira Anti Cellulite Massage Oil เป็นน้ำมันนวดตัวที่มีสรรพคุณในเรื่องการลดเซลลูไลท์โดยเฉพาะ เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของสถิรา และได้รับเสียงชื่นชมผ่านรางวัลการันตี ผลิตภัณฑ์สปาดีเด่นระดับประเทศ PMHA ( Prime Minister Herbal Awards ) โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งรางวัลนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะมอบให้เฉพาะกับผู้ผลิตที่ได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยคุณภาพระดับประเทศ และระดับสากลเท่านั้น
เจาะลึก Satira Anti Cellulite Massage Oil น้ำมันนวดผิวกายลดเซลลูไลท์ตัวนี้ จะเป็นการผสมผสานสารสกัดที่มีความเผ็ดร้อน อยู่ในกลุ่มน้ำมันหอมระเหยที่เน้นซึมซาบลงสู่ผิว และกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญโดยเฉพาะ ประกอบด้วย
ผลิตภัณฑ์น้ำมันพริกไทยดำ
Capsicum oil หรือ น้ำมันจากพริก
Orange peel oil หรือ น้ำมันเปลือกส้ม
เมื่อร่างกายถูกนวดกกระตุ้น พร้อมกับส่งสารสกัดที่ช่วยให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญไขมันมาในครั้งเดียวกัน จึงทำให้ไขมันสามารถแตกตัวได้ง่าย สลายง่ายขึ้น ทำให้ลดปัญหา และลดการเกิดเซลลูไลท์ใหม่ได้ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดเลือนริ้วรอยของผิวเปลือกส้มได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ภายใน Satira Anti Cellulite Massage Oil ยังประกอบไปด้วยสารสกัดที่ช่วยมอบการบำรุงให้ชั้นดีอย่าง
น้ำมันงา
น้ำมันรำข้าว
น้ำมันสวีทอัลมอนด์
วิตามินอี
เป็นสารสกัดอันทรงคุณค่าในเรื่องผิว เน้นการเติมความชุ่มชื้น พร้อมกับการกักเก็บ และป้องกันน้ำในผิว ช่วยในเรื่องผิวกระจ่างใส นุ่มนวล ลดปัญหารอยแตก รอยดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ คืนความกระจ่างใสเรียบเนียน ผิวเด้ง ชุ่มชื้น แลดูอ่อนเยาว์
นอกจากนี้กลิ่นหอมจากสมุนไพรและน้ำมันบำรุงต่าง ๆ ยังสร้างความผ่อนคลายให้ร่างกาย กลิ่นจะมีความอบอุ่นละมุน ช่วยปลอบประโลมใจในวันเครียด ๆ หรือเปลี่ยนวันว่าง ๆ ให้เป็นการพักผ่อนอย่างแท้จริง เหมาะกับการเป็นไอเท็มสำหรับดูแลตัวเองที่ดีที่สุด
วิธีนวดลดเซลลูไลท์ ควบคู่กับ Satira Anti Cellulite Massage Oil
การนวดนดเซลลูไลท์ให้ได้ผล จะใช้กำปั้นนวด ไม่เหมือนการบีบนวดทั่วไป
หลังจากที่ทาน้ำมันนวดผิวกายในจุดที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ให้กำมือ แล้วใช้กำปั้นนวดวนในจุดที่ต้องการ
หากเป็นจุดที่มีเนื้อเยอะอย่างต้นขา ต้นแขน หน้าท้อง หรือสะโพก ให้ใช้กำปั้นนวดวนเป็นวงกลมถี่ ๆ ลักษณะคล้ายกับสายโทรศัพท์ สามารถนวดทั้งทั่วทุกบริเวณ โดยนวดจากด้านล่างขึ้นด้านบน สวนเข้าหาตัว
หากเป็นจุดที่ไม่ได้มีเนื้อเยอะมาก อย่างเช่น แขนหรือน่อง สามารถใช้กำปั้นรูดโกยเนื้อจากด้านล่างขึ้นด้านบน สวนเข้าหาร่างกายได้เลย
ทำซ้ำ ๆ 15 - 20 ครั้งต่อบริเวณ
เพื่อให้การนวดลดเซลลูไลท์เห็นผลรวดเร็วมากยิ่งขึ้น สามารถใช้พลาสติกแร็ป หรือ อีลาสติกแร็ป แร็ปปิดในบริเวณจุดที่นวด ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อเพิ่มการออกฤทธิ์ให้กับน้ำมันนวดลดเซลลูไลท์ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อสามารถลดเซลลูไลท์ คืนความมั่นใจให้ทุกส่วนในร่างกายแล้ว อย่าลืมนึกเสมอว่าเซลลูไลท์มีโอกาสกลับมาแวะเวียนทักทาย หรือจะกลับมาอยู่กับเราแบบถาวรเหมือนเดิมต่อได้ตลอดเวลา ทำให้ดูแลตัวเอง ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ จึงสำคัญเพื่อไม่ให้เซลลูไลท์กลับมาได้อีกครั้ง
กว่าจะเป็น Satira แนวคิดที่เป็นมากกว่าแบรนด์สมุนไพรไทย
Satira (สถิรา) ความสุขที่ยั่งยืนผ่านความเชื่อมั่นในพลังสมุนไพรไทย ความเชี่ยวชาญจากรุ่นสู่รุ่น ส่งต่อ ถูกพัฒนาให้ตรงตามความต้องการทั้งในปัจจุบัน และอนาคต แต่ยังคงอัตลักษณ์ ความน่าหลงไหลเฉพาะตัวของสมุนไพรที่ยากจะเลียนแบบ
กว่าจะเป็น “สถิรา” ย้อนกลับไปในปี 2542 สถิราได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยหัวเรือใหญ่อย่าง “คุณจริยา ฉันทวานิช” ที่มีความหลงไหลในเสน่ห์ของสมุนไพรไทย ทุ่มเททั้งกายและใจผ่านประสบการณ์ ความรู้จากการศึกษาด้านศาสตร์สมุนไพรและแพทย์แผนไทยอย่างแตกฉาน พร้อมกับความเชี่ยวชาญที่ถูกสืบทอดส่งต่อกันมาแบบรุ่นสู่รุ่นจากคุณพ่อ ผู้เป็นพ่อค้าสมุนไพรและของป่าที่ชาวบ้านเก็บมาฝากขาย ตกทอดมาสู่คุณแม่ผู้ที่มีความต้องการให้สมุนไพรทรงคุณค่าเหล่านี้ กลับมาเป็นสิ่งที่สามารถดูแลบำบัดสุขภาพของคุณจริยาเอง หลังจากที่ให้กำเนิดลูกน้อยในคนแรก
สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องราวความรักที่น่าประทับใจระหว่างแม่และลูกสาว โดยคุณแม่ของคุณจริยาได้ส่งสมุนไพรถึง 1 คันรถ เพื่อใช้บำบัดฟื้นฟูสุขภาพหลังคลอด นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จากประสบการณ์ที่แสนประทับใจกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ให้คุณจริยา ตัดสินใจสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย โดยใช้ปรัชญาสำคัญจากความรักที่แม่มีให้เธอ อยากให้ทุกคนได้มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นตัวแทนสิ่งที่ดีที่สุด ส่งมอบให้กับคนที่เรารักและห่วงใยผ่านคุณประโยชน์อันยอดเยี่ยมของสมุนไพรไทยจากสถิรา
Satira ให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติอย่างพิถีพิถันจากความรู้ความเชี่ยวชาญที่ถูกส่งต่อกันมายาวนานมากกว่า 50 ปี พร้อมกับการนำมาผลิตด้วยกรรมวิธีที่ทันสมัย ได้มาตรฐานนานาชาติแต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ และประโยชน์จากสมุนไพรไทยโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ดึงเอาความเชี่ยวชาญมาใช้ในการฟื้นฟูสุขภาพกาย สุขภาพใจ สุขภาพผิว แปรเปลี่ยนผิวให้แลดูอ่อนเยาว์แข็งแรง ทำให้ทุกผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถิรา สามารถมั่นใจว่าจะเต็มไปด้วยความใส่ใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความหวังดีที่ต้องการให้ผู้ที่ไว้ใจในเรา ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด เป็นความประทับใจที่ไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงไปไหนจากประสบการณ์ตรงของคุณจริยาเอง เป็นผลิตภัณฑ์คงคุณภาพเยี่ยมระดับสากลในราคาที่เอื้อมถึง
นอกจากนี้ อีกหนึ่งปรัชญาสำคัญที่เราตั้งใจ คือการไม่หยุดสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพ เพื่อให้คุณได้รับพลังจากธรรมชาติ แปรเปลี่ยนเป็นความสุข ส่งเสริมสุขภาพทางร่างกาย จิตใจ พร้อมเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันสมุนไพรไทย ส่งเสริมกลุ่มเกษตรกร อุดหนุนวัตถุดิบจากชาวบ้านสร้างรายได้อย่างมั่นคงและแท้จริง ซึ่งในปัจจุบัน Sarita ได้เดินทางมาอย่างยาวนาน และมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งในไทยและต่างประเทศ แบ่งได้เป็นผลิตภัณฑ์ 4 ประเภทหลักด้วยกัน
1.เอกลักษณ์แห่งพลังธรรมชาติผ่าน “ลูกประคบสมุนไพร”
จุดเด่นด้านภูมิปัญหาไทยแท้อีกหนึ่งสิ่ง ที่ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของสถิราอย่าง “ลูกประคบสมุนไพร” สัญลักษณ์แห่งความผ่อนคลาย วิถีบัดด้วยธรรมชาติอย่างแท้จริงที่ช่วยทำให้เส้นประสาทรู้สึกผ่อนคลาย และเปลี่ยนเส้นทางพลังงานที่มีความสำคัญต่อสุขภาพ
โดยลูกประคบสมุนไพรจากสถิราจะมีสรรพคุณที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากพลังสมุนไพรที่ตรงจุด ตอบโจทย์มากที่สุด โดยจะเน้นหนักไปที่ความผ่อนคลายผ่านการนวด กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ปรับสุขภาพจากเดิมที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้นในแบบที่คุณต้องการ
2.ปรนบัติผิวหน้า คืนความอ่อนเยาว์ผ่าน “สกินแคร์ Satira”
ไม่มีอะไรจะสำคัญไปมากกว่าความแข็งแรง อ่อนเยาว์ ผิวหน้าแลดูสดใสเหมือนล็อกอายุผิวไว้ได้ตลอดเวลา เพราะเราเข้าใจความต้องการของคนที่รักในการดูแลตัวเอง สถิราจึงมีการพัฒนา ทดลอง วิจัยจนได้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์เพื่อเข้ามาเติมเต็มทั้งความชุ่มชื้น แก้ปัญหาผิวต่าง ๆ โดยเฉพาะความหย่อนคล้อย และริ้วรอยแห่งวัยผ่านการใช้สมุนไพรไทย และพลังธรรมชาติบริสุทธิ์อย่างแท้จริง แตกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวออกเป็นหลายประเภท หลายเนื้อสัมผัสเพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ถูกใจถูกจริตการใช้งานของแต่ละคนมากที่สุด
3.คืนผิวกายสู่ความใสอ่อนเยาว์ผ่าน “ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายจากสถิรา”
จุดเด่นของสมุนไพรไทยนอกจากเรื่องการรักษาโรค ผ่อนคลายร่างกายผ่านพลังธรรมชาติแล้ว การบำรุงผิวกายคืนความใสอ่อนเยาว์ด้วยสมุนไพรไทย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่กลายเป็นดั่งภูมิปัญญาที่ถูกส่งต่อกันมาอย่างยาวนาน สถิรานำเอาข้อเท็จจริงในจุดนี้มาพัฒนาต่อเพื่อคุณสามารถใช้สมุนไพรในการดูแล บำรุง นำการฟื้นฟูผิวกายตามแบบฉบับโบราณ ในรูปแบบที่ง่าย สะดวกสบายผ่านผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายสมัยใหม่ ดึงเอาสารบำรุงที่เข้มข้น บริสุทธิ์คงความเป็นอัตลักษณ์ของสมุนไพรไทยเข้ามาให้ได้มากที่สุด ครบถ้วนตั้งแต่ขั้นตอนการทำความสะอาดอย่างล้ำลึกไปจนถึงการบำรุงผิวเพิ่มความชุ่มชื้น และผลักสารบำรุงจากสมุนไพรเข้าฟื้นฟู คืนความแข็งแรงให้ได้มากที่สุด
4.เสริมบรรยากาศให้ผ่อนคลายผ่านกลิ่นหอมด้วย “ผลิตภัณฑ์สร้างกลิ่นหอม”
กลิ่นหอมคือความสวยงามที่แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่เราสามารถสัมผัสและมีความสุขไปกับมันได้ สถิราใส่ใจในการนำวัตถุดิบและสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์มาปรุงกลิ่น พัฒนาให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สร้างกลิ่นหอมในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่เทียนหอม ก้านหอม อโรมาติกออยล์ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยแต่ละกลิ่นหอมเน้นสร้างความผ่อนคลายจากความเครียดและวันที่อ่อนล้า พร้อมเปลี่ยนทุกสถานที่ให้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ให้คุณสบายยิ่งกว่าครั้งใด ผ่านกลิ่นหอมละมุนอันเป็นเอกลักษณ์
สถิรา เรายังคงตั้งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อเป็นการมอบสิ่งที่ดีที่พร้อมดูแลคุณและคนที่คุณรัก ส่งเสริมให้สมุนไพรไทยกลายเป็นไอเท็มยอดฮิตที่ทั่วโลกรู้จัก ควบคู่กันการได้รับประโยชน์จากสมุนไพรไทยแท้ตามแบบฉบับดั่งเดิมผ่านผลิตภัณฑ์จากสถิราที่ทันสมัย ง่าย และเหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบัน
กวาวเครือขาว คืออะไร? เป็นสารสกัดสำคัญที่ทำให้ผิวสวย อ่อนเยาว์ได้จริงหรือ?
กวาวเครือขาว เป็นอีกหนึ่งสารสกัดจากธรรมชาติที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมากมาย อยู่ในกลุ่มสมุนไพรไทยที่สามารถให้ประโยชน์ทั้งกับร่างกาย และความสวยความงามได้ โดยเฉพาะเรื่องผิวพรรณ
มารู้จักกับ “กวาวเครือขาว”
กวาวเครือขาว ถือเป็นหนึ่งใน Product Champion ที่ได้รับการคัดเลือกว่าเป็นสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพสูง เป็นประโยชน์ต่อการนำมาใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อส่งออกเป็นยารักษโรค ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสามารถนำมาใช้ในเครื่องสำอางได้โดยมีเงื่อนไขตามหลักเกณฑ์การพิจารณาการจดแจ้งเครื่องสำอาง ปี 2559
ทำให้สารสกัดจากกวาวเครือขาว กลายมาเป็นสารสกัดเด่นในสกินแคร์ดูแลผิวหลากหลายตัว โดยเฉพาะกลุ่มลดเรือนริ้วรอย แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยแห่งวัย
กวาวเครือขาว จะมีสารออกฤทธิ์สำคัญอย่าง “ไมโรเอสทรอล” เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายมนุษย์
มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องช่วยฟื้นฟู บำรุงผิวพรรณโดยตรง
กระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลาเจน เส้นใยอีลาสตินภายในชั้นผิวหนัง
เพิ่มความหนาและความยืดหยุ่นให้ผิวมากขึ้น ส่งผลต่อการลดริ้วรอยในชั้นผิวหนังได้โดยตรง
ผิวหนังเต่งตึง มีน้ำมีนวลมากขึ้น แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยแห่งวัย
เติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ที่จะนำไปสู่ปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา
เคล็ดลับการใช้กวาวเครือขาว กู้ผิวสวยแบบเห็นผล
ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นสมุนไพรระดับแชมป์ ศักยภาพสูงจนใครก็อยากได้ไปเป็นหนึ่งในส่วนผสมก็ตาม การใช้กวาวเครือขาวยังคงจำเป็นต้องมีการผู้เชี่ยวชาญ มีการทดลอง เพื่อให้การดึงเอาสารสกัดจากกวาวเครือขาวมาใช้อยู่ในระดับที่มีคุณภาพสูง มีการกำหนดปริมาณในการใช้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อผิวมากที่สุด รวมไปถึงต้องอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สามารถเติมเต็มความชุ่มชื้น คืนความใส ผิวแน่นเด้ง ดูอ่อนกว่าวัยได้จริงผ่านรูปแบบของสกินแคร์
แน่นอนว่าผิวที่อ่อนแอ แห้งกร้าน มีริ้วรอย และความหย่อยคล้อยแห่งวัย ล้วนมาจากปัญหาความแห้ง ผิวไม่ชุ่มชื้นอิ่มน้ำ จำเป็นต้องใช้สกินแคร์ประเภทที่มีความชุ่มชื้นสูง ซึมเข้าสู่ผิวไว และคงความชุ่มชื้นให้กับผิวไม่หายไปไหน เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์ หรือน้ำมันนวดหน้า เป็นต้น
Precious Face Essence น้ำมันนวดหน้าจาก Satira ถือเป็นอีกหนึ่งตัวบำรุงที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้ทุกสารสกัดสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อุดมไปด้วยสารสกัดจากกวาวเครือขาวเข้มข้น มาเป็นตัวนำความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิวในระดับเซลล์ แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน เพิ่มชั้นความหนาและความยืดหยุ่นให้ผิวจากกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลาเจน และเส้นใยอีลาสตินจากภายใน
เมื่อสารสกัดจากกวาวเครือขาว มาอยู่ในสกินแคร์กลุ่มน้ำมันนวดหน้าที่เป็นประเภทเนื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความชุ่มชื้นสูงที่สุดแล้ว จึงทำให้ทั้ง 2 องค์ประกอบนี้สามารถคืนความชุ่มชื้น ผิวนุ่ม มีความอุ่มน้ำตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ รู้สึกถึงความตึง เด้ง แน่นของผิวจนสัมผัสได้
นอกจากนี้ Precious Face Essence ยังเป็นน้ำมันนวดหน้าที่ผสานผสนกับสารบำรุงคุณภาพอื่น ๆ อีกมากมาย
เป็นน้ำมันหอมระเหยกุหลาบ 100% ด้วยกลิ่นหอมละมุนพร้อมกับสารบำรุงคุณภาพ ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ปลอบประโลมผิวจากความอ่อนล้า ความเครียด ตัวน้ำมันช่วยสร้างเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะต่าง ๆ
มีวิตามินซีบริสุทธิ์ ช่วยปรับผิวหน้าให้ขาวสว่างกระจ่างใส คืนผิวกลับสู่ความอ่อนเยาว์อย่างยอดเยี่ยม
มีสารสกัดจากใบบัวบกช่วยกระตุ้นการไหลเวียน และการสร้างเซลล์ผิวใหม่ สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว
วิธีการใช้ เพียงวอร์มน้ำมัน 1 - 2 หยดในฝ่ามือแล้วลูบไล้ลงบนผิวที่สะอาดโดยเลื่อนจากกึ่งกลางใบหน้าไปยังขมับในแนวยกขึ้น ทำซ้ำทั่วใบหน้าจนน้ำมันซึมซาบเข้าสู่ผิว ใช้ทั้งกลางวันและกลางคืนหลังทำความสะอาดผิวหน้า ใช้ได้ทั้งเป็นออยล์ในการทำทรีทเมนต์ผิวหน้า หรือใช้เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวเพิ่มเติมได้
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน มีริ้วรอยเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย ต้องการฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอกอย่างเร่งด่วน สารสกัดจากกวาวเครือขาว วิตามินซีเข้มข้น และสารสกัดจากใบบัวบก ที่อยู่ในน้ำมันนวดหน้า Precious Face Essence จาก Satira ถือเป็นฮีโร่ที่จะเข้ามาช่วยกู้ผิว คืนความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ แก้ปัญหาริ้วรอย พร้อมคืนความอ่อนเยาว์ให้คุณได้อย่างแน่นอน
โรคยอดฮิต ถึงจะฮิตแค่ไหนถ้าชื่อว่าเป็นโรคแล้ว ก็คงไม่มีใครอยากจะเป็น แต่ถ้าพฤติกรรมการทำงานของเราดันไปเอื้อต่อการพบเจอเข้ากับโรคยอดฮิตเหล่านี้ ที่มักจะคุกคามคนทำงานออฟฟิศอยู่เป็นประจำขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไรดี?
กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว เพราะหลายคนทำงานเพลิน ๆ อยู่หลายปี รู้ตัวอีกทีร่างกายก็เริ่มเจ็บป่วยจากความเครียด และพฤติกรรมการนั่งอยู่ที่เดิมซ้ำ ๆ นานทีละหลาย ๆ ชั่วโมงเข้าให้ กลายเป็นโรคยอดฮิตประจำออฟฟิศที่วัยหนุ่มสายพบเจอกันมากที่สุด แต่จะมีอะไรบ้าง เรายกโรคยอดฮิตมาให้คุณลองทำความรู้จัก 2 กลุ่มอาการด้วยกัน มาดูว่าคุณกำลังพบเจอกับอาการเหล่านี้อยู่หรือไม่ และถ้าหากคุณกำลังเจออยู่จะสามารถทำให้อาการเหล่านี้ทุเลาลงในระยะสั้น ๆ ได้อย่างไร
ปวดหัว ไมเกรน
อาการปวดหัวไมเกรน คือหนึ่งในโรคยอดฮิตที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนทำงานเลยก็ว่าได้ เพราะไมเกรนถือเป็นสิ่งที่รบกวนชีวิตการทำงานมากที่สุด ลักษณะอาการจะปวดหัวตุบ ๆ เป็นจังหวะ มีทั้งปวดข้างเดียว และปวดสองข้าง สามารถพัฒนาระดับความรุนแรงตั้งแต่ปวดเพียงเล็กน้อยไปจนถึงปวดมากจนมีอาการอื่น ๆ เข้ามาแทรกแซงด้วย อาทิ คลื่นไส้อาเจียน อาการไวต่อกลิ่นและแสงมากกว่าปกติจนเวียนหัว รู้สึกอ่อนแรง ดวงตาพร่ามัว เป็นต้น
สาเหตุจากการเกิด “ไมเกรน”
ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน จะยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดว่าโรคยอดฮิตชนิดนี้เกิดขึ้นจากอะไร แต่คุณสามารถเฝ้าระวัง หลีกเลี่ยงปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดไมเกรน ดังนี้
ความเครียด
อดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนมากเกินไป
อดอาหาร รับประทานอาหารไม่เพียงพอ
ถอนคาเฟอีน, สูบบุหรี่
ใช้ยาบางชนิด
ออกกำลังกายหักโหมจนเกินไป
ปัจจุบันอาการไมเกรนยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่คุณเองสามารถทำให้อาการจากโรคยอดฮิตนี้ทุเลาเบาบางลงได้ มีตั้งแต่การใช้ยาแก้ปวด บรรเทาอาการปวดตามความรุนแรงของอาการไมเกรนที่เป็น มีตั้งแต่กลุ่มยาสามัญประจำบ้าน และยาที่แพทย์ต้องเป็นผู้จ่ายให้เท่านั้น
นอกจากนี้ การผ่อนคลายตัวเอง ลดความเครียดด้วยการนวดและกลิ่นหอม มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้กลิ่นหอมมาผ่อนคลายและบรรเทาความเครียดลงได้ ซึ่งสิ่งนี้จึงกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาช่วยลดกระตุ้นอาการไมเกรน หรือทำให้อาการปวดหัวทุเลาลงได้ในระดับดี
เทคนิคแก้ไมเกรนด้วยการนวดและกลิ่นหอม
การนวดเป็นวิธีการที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ง่าย และรวดเร็วมากที่สุด โดยวิธีนวดควรนวดพร้อมกับการใช้ควบคู่กับอโรมาติกออยล์ที่มีกลิ่นช่วยผ่อนคลายความเครียดได้โดยเฉพาะ เช่น
Sarita Aromatic Oil Destress Eucalyptus กลิ่นยูคาลิปตัส เพิ่มความสดชื่น หายใจโล่งผ่อนคลาย
Sarita Aromatic Oil Lavender ช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย นอนหลับง่ายขึ้น
เน้นนวดบริเวณขมับ ต้นคอ และช่วงไหล่ นวดคลึงไปเรื่อย ๆ ร่างกายจากที่ตึงเครียดรู้สึกผ่อนคลายลง เส้นเลือดก็จะค่อย ๆ คลายตึง ไม่หดเกร็ง ทำให้อาการไมเกรนทุเลาลงได้
ออฟฟิศซินโดรม
ยกให้เป็นโรคยอดฮิตประจำออฟฟิศที่เป็นดังตลกร้ายที่คอยหลอกหลอนมนุษย์เงินเดือนมาตั้งแต่รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ออฟฟิศซินโดรนถือเป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการทำงานในท่าซ้ำ ๆ เดิม ๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว ความเครียด และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยอาการที่เข้าข่ายเป็นออฟฟิศซินโดรม จะประกอบไปด้วย
ปวดหลัง
ปวดคอ บ่า ไหล่ ไหล่ตึงแข็ง
ปวดตา ตาพร่ามัวจากการจ้องหน้าจอนาน ๆ
ปวดตึงที่ขา เป็นเหน็บชาบ่อย
ปวดศีรษะ
ปวดข้อมือ มือชา นิ้วชาบ่อยครั้ง
ซึ่งหากจะให้พูดถึงอาการยอดฮิตที่คนทำงานมักจะต้องเจอ จะพบกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ และเยื่อพังผืดตามร่างกายมากที่สุด เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง ซึ่งก็ไปตรงกับพฤติกรรมการนั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมวันละหลายชั่วโมง การใช้เม้าส์, คีย์บอร์ดอยู่ในท่าซ้ำ ๆ ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ และปวดเมื่อยตามอวัยวะต่าง ๆ เป็นกันมากในบริเวณคอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ มีตั้งแต่อาการปวดเล็กน้อย และร้ายแรงไปจนถึงปวดเรื้อรัง จำเป็นต้องได้รับการกายภาพ รักษาอย่างเร่งด่วน
นวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อและความเครียด คือทางออก
เพราะแบบนี้เอง การนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่วมกับน้ำมันหอมระเหยกลิ่นหอมละมุน จึงกลายเป็นทางออกของชาวออฟฟิศซินโดรมก่อนเป็นอันดับต้น ๆ เพราะการนวดถือเป็นการลดอาการปวดเมื่อย คลายความตึงแข็งของกล้ามเนื้อที่ทำงานมาอย่างหนักหน่วง และเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่สะสมจากงานมาทั้งวันไปในตัว ทำให้การเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยที่ดีที่สุด ผ่านกลิ่นที่เราผ่อนคลายและชื่นชอบมากที่สุด จึงจะช่วยส่งผลได้ให้รับประโยชน์ไปอย่างครบถ้วน เปลี่ยนให้ช่วงเวลาในการนวดผ่อนคลายนี้ กลายเป็นช่วงเวลาที่คุณได้ปลดปล่อยอาการปวดเมื่อย ปวดใจละทิ้งสิ่งที่คิดมาทั้งวันได้อย่างแท้จริง
น้ำมันหอมระเหยมีให้เลือกหลายกลิ่น แต่ละกลิ่นสามารถมอบความรู้สึก มอบความผ่อนคลายที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวล้วน ๆ โดยอโรมาติกออยล์ หรือน้ำมันหอมระเหยจากสถิรา มีให้เลือกมากถึง 10 กลิ่นด้วยกัน
Sarita Aromatic Oil Coconut หอมหวาน ผ่อนคลาย เปลี่ยนให้กลายเป็นเวลาพักผ่อน
Sarita Aromatic Oil Frangipani หรือดอกลีลาวดี หอมละมุนสไตล์ดอกไม้
Sarita Aromatic Oil Ocean Breeze โดดเด่นด้วยกลิ่นเกรตฟรุต และมิ้นท์
Sarita Aromatic Oil Destress Eucalyptus กลิ่นยูคาลิปตัส สดชื่น ผ่อนคลาย
Sarita Aromatic Oil Jasmine ลดความเครียด ซึมเศร้า เพิ่มพลังบวก
Sarita Aromatic Oil Lavender ช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย นอนหลับง่ายขึ้น
Sarita Aromatic Oil Lemongrass หรือตะไคร้ เพิ่มความสดชื่น แก้ปวดเมื่อย ฆ่าเชื้อโรค ระงบกลิ่นไม่พึงประสงค์
Sarita Aromatic Oil Rose หอมหวาน โรแมนติก กระตุ้นการหายใจ เพิ่มความผ่อนคลาย
Sarita Aromatic Oil Orchid Sandalwood อบอุ่นชวนฝัน หรูหราผ่อนคลาย
Sarita Aromatic Oil Tropical Sunrise สดใส เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะนวด ฝั่งเข็ม หาหมอหมดเงินไปมากมายซักแค่ไหน ทุกอย่างจะไม่เป็นผลเลยหากคุณไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นสาเหตุในการเกิดโรคฮิตนี้ ไม่ว่าจะทั้งไมเกรน ออฟฟิศซินโดรมและอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นลองค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซักนิด อาจจะเริ่มจากการลุกขึ้นมายืดเส้นยิดสาย ไม่ให้มัดกล้ามทำงานซ้ำ ๆ เดิม ๆ นานจนเกินไป พักสายตาจากหน้าจอบาง ดื่มน้ำเปล่าบ่อย ๆ ลุกเข้าห้องน้ำบ้างอย่าอั้นไว้ เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถทำงานที่เรารักได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องทรมานร่างกายตัวเองแล้ว